วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2560

การสืบพันธุ์ของมนุษย์

การสืบพันธุ์เพศชาย (Male reproductive system)


โครงสร้างระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย
 ระบบการสืบพันธุ์ของเพศชายประกอบด้วยอวัยวะหลายอย่างที่ทำงานสัมพันธุ์กันได้แก่ อัณฑะห่อหุ้มด้วยถุงอัณฑะ(scrotum)อยู่นอกช่องท้องมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกายประมาณ 3 องศาเซลเซียสซึ่งเหมาะสมกับการเจริญของอสุจิอัณฑะมีหน้าที่สร้างอสุจิและฮอร์โมนเพศชายภายในอัณฑะประกอบด้วยหลอดสร้างอสุจิ(seminiferoustubule)ซึ่งเป็นท่อยาวขดไปมาภายในหลอดนี้จะมีกระบวนการสร้างอสุจิ(spermatogenesis) โดยมีเซลล์กลุ่มหนึ่งที่บริเวณผนังหลอดเรียกว่าสเปอร์มาโทโกเนียม(spermatogonium) เป็นเซลล์ดิพลอยด์(2n)เมื่อย่างเข้าสู้วัยหนุ่มสเปอร์มาโทโกเนียมจะมีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสทำให้ได้สเปอร์มาโทโกเนียมจำนวนมากสเปอร์มาโทโกเนียมบางเซลล์จะพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเรียกว่าสเปอร์มาโทไซต์ระยะแรกprimaryspermatocte)เป็นเซลล์ดิพลอยด์ สเปอร์มาโทไซต์ระยะแรก 1 เซลล์จะมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสครั้งที่1ได้เป็นสเปอร์มาโทไซต์ระยะที่สอง  (secondary spermatocte) 2 เซลล์จะเป็นเซลล์แฮพลอยด์(n)และเมื่อแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสครั้งที่2จะได้ สเปอร์มา-ทิด(spermatid) 4เซลล์สเปอร์มาทิดเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงและเจริญเป็นอสุจิ โดยสลัดไซโทพลาซึมส่วนใหญ่ทิ้งไป ส่วนหัวเป็นที่อยู่ของนิวเคลียสส่วนปลายสุดของหัวมีถุงอะโครโซม(acrosomalcap)ภายในมีเอนไซม์สำหรับเจาะเยื่อหุ้มเซลล์ไข่เพื่อการปฏิสนธิส่วนลำตัวมีออร์แกเนลล์ที่สำคัญคือไมโทคอน-เดรียและส่วนหางคือแฟลเจลลัมซึ่งช่วยในการเคลื่อนที่
กระบวนการสร้างอสุจิ
   อสุจิสร้างขึ้นจากหลอดสร้างอสุจิจะเคลื่อนที่มายังหลอดเก็บอสุจิ(epididmis)และพัฒนาต่อจนเจริญเต็มที่ต่อจากนั้นอสุจิจะเคลื่อนต่อไปยังหลอดนำอสุจิ(vasdeferens) ซึ่งวกขึ้นไปเหนือขอบกระดูกเชิงกรานและมีปลายเปิดเข้าสู่ท่อปสสาวะ(urethra)ระหว่างทางเดินของอสุจิจะมีต่อมสร้างสารหลายต่อมแต่ละต่อมจะผลิตของเหลวไปรวมกับอสุจิ เรียกว่า น้ำอสุจิ (semen)ซึ่งจะถูกหลั่งออกมาทางปลายเปิดของท่อปัสสาวะที่ปลายองคชาตต่อมเหล่านี้ ได้แก่ ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ(seminalvesicle) ซึ่งทำหน้าที่หลั่งของเหลวมีสีเหลืองอ่อนประกอบด้วยเมือก กรดอะมิโนและน้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของอสุจิ ต่อมลูกหมาก(prostategland)หลั่งของเหลวที่มีสมบัติเป็นเบสเพื่อทำให้ช่องคลอดของเพศหญิงซึ่งมีสภาพเป็นกรดเปลี่ยนสภาพเป็นกลางเมื่ออสุจิเข้าสู่ช่องคลอดก็จะสามารถเคลื่อนที่และมีชีวิตรอดได้ ส่วนต่อมคาวเปอร์(Cowper’s gland) ทำหน้าที่หลั่งของเหลวเพื่อหล่อลื่นท่อปัสสาวะโดยเฉลี่ยแล้วผู้ชายจะหลั่งน้ำอสุจิครั้งละประมาณ 3 ลูกบาศก์เซนติเมตรมีอสุจิประมาณ  300-500 ล้านตัว

การสืบพันธุ์เพศหญิง(Female reproductive system)
โครงสร้างระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
  ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วย รังไข่ที่อยู่ด้านล่างของช่องท้องลึกเข้าไปในอุ้มเชิงกรานอยู่ 2ข้างมดลูก รังไข่ทำหน้าที่ผลิตเซลล์ไข่และฮอร์โมนเพศหญิง มดลูกอยู่ด้านหลังกระเพาะปัสสาวะ มดลูกตอนล่างที่ติดต่อกับช่องคลอดจะแคบเข้าหากันเป็นปากมดลูก(cervix)ภายในรังไข่จะมีกระบวนการสร้างเซลล์ไข่(oogenesis)โดยเริ่มตั่งแต่เป็นทารกในครรภ์จะมีเซลล์โอโอโกเนียม(oogonium)เป็นเซลล์ดิพลอยด์ ซึ่งสามารถแบ่งเซลล์แบบไมโทซีสทำให้ได้เซลล์โอโอโกเนียมจำนวนมาก แต่เมื่อทารกคลอดออกมา โอโอโกเนียมจะพัฒนาเป็นโอโอไซต์ระยะแรก(primar oocyte)ซึ่งเป็นเซลล์ดิพลอยด์โอโอไซต์ระยะแรกแต่ละเซลล์จะถูกล้อมรอบด้วยเซลล์ฟอลลิเคิล(follicular cell) เรียกรวมกันว่า  ฟอลลิเคิล(follicular

 เมื่อเข้าสู่ระยะวัยสาวในแต่ละรอบเดือนโอโอไซต์ระยะแรกบางเซลล์จะถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนFSH จากต่อมใต้สมองทำให้เริ่มแบ่งเซลล์แบบไมโอซีสครั้งที่1ได้เป็นโอโอไซต์ระยะที่สอง(secondary oocyte)1เซลล์และโพลาร์บอดี(polarbody)ซึ่งเป็นเซลล์ขนาดเล็ก1เซลล์การพัฒนาของเซลล์ไข่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของรังไข่และฟอลลิเคิล เมื่อฟอลลิเคิลเจริญเติบโตเต็มที่จะมีการผลิตฮอร์โมนอีสโทรเจนไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมนLHมากระตุ้นให้ผนังฟอลลิเคิลแตกออกพร้อมกบปล่อยโอโอไซต์ระยะที่สองเข้าสู่ท่อนำไข่ เรียกว่าการตกไข่(ovulation)ส่วนฟอลลิเคิลเดิมก็จะกลายเป็นเนื้อเยื่อสีเหลืองเรียกว่า คอร์ปัสลูเทียม(corpus luteum)ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน


การปฏิสนธิ

 เซลล์ไข่ซึ่งอยู่ในระยะโอโอไซต์ระยะที่สองจะหลุดออกจากฟอลิเคิลเข้าสู่ท่อนำไข่ทางไข่ที่มีลักษณะคล้ายกับแตรโดยอาศัยการพัดโบกของซิเลียที่เยื่อบุผิวของท่อนำไข่ถ้าโอโอไซต์ระยะที่สองที่อยู่ในท่อนำไข่ได้รบการกระตุ้นโดยการเจาะของอสุจิที่ผิวเซลล์โอโอไซต์ระยะที่สองจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสครั้งที่ 2 ได้เป็นเซลล์ไข่ 1 เซลล์ และโพลาร์บอดี 1 เซลล์ เซลล์ที่ได้นี้ต่างก็เป็นเซลล์แฮพลอยด์ จากนั้นจึงมีการรวมตัวระหว่างนิวเคลียสของอสุจิกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่เกิดเป็นไซโกตซึ่งจะมีการแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนและเคลื่อนที่ไปฝังตัวที่ผนังมดลูกถ้าเซลล์ไข่ไม่ได้รับการผสมภายใน 24 ชั่วโมง เซลล์ไข่ก็จะสลายตัวไป

การตั้งครรภ์

   ผนังของมดลูกประกอบด้วยเนื้อเยื่อ3ชั้นเอนโดมีเทรียม(endometrium)เป็นเนื้อเยื่อชั้นในมีความสำคัญมาก มีลักษณะคล้ายฟองน้ำและหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยง ระหว่างตั้งครรภ์เนื้อเยื่อชั้นนี้จะพัฒนาร่วมกับเนื้อเยื่อเอ็มบริโอแล้วเจริญไปเป็นรกเพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนแก๊สและส่งอาหารให้กับเอ็มบริโอเนื้อเยื่อถัดออกมา เป็นชั้นกล้ามเนื้อทำหน้าที่บีบตัวในระหว่างการคลอด นอกจากนี้ยังมีเนื้อเยื่อบางๆหุ้มชั้นกล้ามเนื้อเอาไว้อีกชั้นหนึ่งหากเซลล์ไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมในส่วนที่เจริญสำหรับการเตรียมรับการฝังตัวของเอ็มบริโอจะสลายหลุดลอกเป็นประจำเดือนเมื่อนิวเคลียสของเซลล์ไข่รวมกับนิวเคลียสของอสุจิที่บริเวณท่อนำไข่จะได้ไซโกต จากนั้นไซโกตจะเริ่มแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์จนได้เป็นเอ็มบริโอและเคลื่อนที่ไปฝังตัวอยู่ที่ผนังมดลูก ขณะเดียวกันคอร์ปัสลูเทียมจะสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนซึ่งจะทำงานร่วมกันกับฮอร์โมนอีสโทรเจนที่สร้างขึ้นจากฟอลลิเคิล(อีสโทรเจนสร้างคอร์ปัสลูเทียมเช่นกันแต่มีปริมาณน้อย)ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังมดลูกชั้นในให้หนาขึ้น และมีหลอดเลือดฝอยมากขึ้นพร้อมกบการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอต่อไปจนเป็นทารก







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น